อะไรคือเหนือธรรมชาติ
ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ
ปรัชญาทำหน้าที่เชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างวิชาการสาขาต่างๆ เพราะว่า ปรัชญาเป็นแม่ของวิชาต่าง ๆ โดยเมื่อแรกเริ่มที่มนุษย์รู้จักสร้างเนื้อหาวิชาการขึ้นมานั้น มนุษย์เราเรียกผู้รู้อย่างรวม ๆ ว่า “ปราชญ์”และเนื้อหาที่ปราชญ์รู้และนำออกมาสอนเรียกว่า “ปรัชญา”
ความรู้ด้านใดที่มีมาก จึงต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยตั้งชื่อเรียกเนื้อหาด้านนั้นโดยเฉพาะเพื่อสะดวกในการประชาสัมพันธ์หาผู้สนใจอยากรู้ ด้วยวิธีนี้ วิชาต่างๆ จึงค่อยๆ แยกตัวออกไป และเมื่อแยกแล้ว ก็ยังแยกย่อยต่อไปได้อีกจนมาถึงยุคปัจจุบัน
Aristotle พูดถึง On Nature หรือ Periphyseos โดย Nature ของชาวกรีกจะหมายถึงวิชา ฟิสิกส์เท่านั้น แต่ถ้าในปัจจุบันนี้จะรวมหมายถึงวิชาเคมีด้วย เพราะว่าเคมีเป็นวิชาที่เกิดขึ้นมาในภายหลัง และพวกกรีกไม่มี Idea เรื่องเคมี เรื่องเคมีก็คือเรื่อง ปฐมธาตุ
ฟิสิกส์ หมายความว่าไม่เกี่ยวกับ ปฐมธาตุ แต่ฟิสิกส์พูดถึงว่าเมื่อธาตุผสมกันแล้ว เคมีเป็นส่วนย่อยของธรรมชาติอีกที คือ สิ่งที่เป็นวัตถุก้อนนั้นที่จริงแล้วมีส่วนผสมอยู่คือธาตุ การแยกธาตุออกไปได้นั้นเป็นเรื่องในภายหลัง กรีกและโรมันไม่รู้จักการแยกธาตุ ดังนั้นพวกเขาไม่มีวิชาเคมี
วิชาเคมีเกิดจากพวกอาหรับ คำว่าเคมีเป็นภาษาอาหรับ ไม่ใช่คำกรีกหรือละติน ในเวลาปัจจุบันนี้ เมื่อพูดถึง Nature ก็จะหมายถึงฟิสิกส์ เคมี ชีวะ รวมเป็น 3 วิชานี้ แต่สมัยกรีกไม่เอาชีวะ เพราะชีวะถือว่าไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะว่ามีพลังอะไรบางอย่างที่เราไม่สามารถเข้าใจ พลังส่วนที่เรียกว่า Organism
Organism เป็นคำภาษากรีก พืชไม่เหมือนกับก้อนหิน ซึ่งเราสามารถแยกก้อนหินเป็นดิน เป็นหิน เป็นอะไรต่างๆได้ และการแยกอย่างนี้ไม่ถึงกับเป็น chemistry แต่ก็ยังไม่เป็นชีวะ เพราะส่วนที่ธาตุต่างๆหลายธาตุมารวมกันโดยประกอบขึ้นมาแล้วเป็นก้อนหินนั้นไม่เกิดเป็น Organism เพราะว่ามันไม่รับรู้
ก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งอาจจะแยกออกได้เป็นหลายอย่างซึ่งรวมเป็นก้อน แต่การรวมกันเป็นก้อนนั้น ไม่รู้สึกว่ามันรับรู้กัน มันไม่รู้สึกว่ามีอะไรช่วยเหลือกัน
แต่ถ้ามาประกอบกันแล้วเป็น Organism ก็คือเป็นสิ่งมีชีวิต (bios) และมีความสามารถในการรับรู้ช่วยเหลือกัน มีการแบ่งหน้าที่กันทำ เป็นร่างกายมนุษย์ เป็นร่างกายสัตว์ เช่นส่วนหนึ่งเป็นหัวใจคอยสูบฉีดโลหิต โลหิตก็คอยมีหน้าที่วิ่งเอาอาหารไปป้อนอะไรต่างๆ และเมื่อมีส่วนที่เป็นอาการป่วย ก็จะมีการทำหน้าที่มาช่วย แต่ว่าไม่มีตรงไหนที่มาแสดงความคิด แต่ก็รู้สึกว่ามันช่วยเหลือกันโดยอัตโนมัติ ซึ่งผิดกันกับก้อนอะไรก้อนหนึ่งที่ไม่ใช่ Organism ซึ่งมันไม่ช่วยกัน
ดังนั้น สำหรับพวกกรีก ละติน เวลาที่พูดถึง Nature ก็จะไม่รวมถึงชีวิต สำหรับ Aristotle ถ้าพูดถึง Nature หรือ Periphyseos ก็จะหมายถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่เป็น Organism ไม่รับรู้ ไม่ช่วยกัน ถ้าในปัจจุบันก็คือ ฟิสิกส์กับเคมี แต่ชีวะนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่งคือ Biology
Bios เป็นเรื่องของชีวิต เพราะชีวิตมีอะไรบางอย่างซึ่งอธิบายด้วยหลักของฟิสิกส์ไม่ได้ ก็หมายความว่าจริงๆแล้ว Supernatural เริ่มตั้งแต่ชีววิทยาขึ้นมา เพราะว่าเมื่อมีชีวิตขึ้นมาก็เป็น Bios ซึ่งมันมีพลังอะไรบางอย่างที่ฟิสิกส์หรือธรรมชาติไม่มี ก็คือการแบ่งงานกัน การช่วยเหลือกัน การแบ่งหน้าที่กันทำ และถ้าสูงมาอีกก็เป็นสัตว์เดรัจฉานซึ่งสำหรับภาษากรีกหรือสมัย Aristotle ก็คือ Psyche
Psyche คือ เป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติขึ้นมา 2 ชั้น คือชั้นหนึ่งมีชีวิตซึ่งเป็นลักษณะที่เหนือธรรมชาติขึ้นมาชั้นหนึ่งแล้ว แต่ว่ามันเป็นเพียงการช่วยกันในเฉพาะ Organism โดยในแต่ละ Organism มันจะช่วยกัน เพื่อการดำรงอยู่ของมันเพื่อรักษาหน่วย Organism ของมันโดยแบ่งหน้าที่กันทำและมีการป้องกันภัยต่างๆในตัวของมัน
แต่พอมาถึงขั้น Psyche นอกจากมันจะเป็น Bios แล้ว มันยังจะมีสัญชาตญาณอีกอย่างหนึ่ง ก็คือพยายามที่จะให้ Species ของมัน โดยไม่ใช่เฉพาะดูแลตัวของมันซึ่งเรียกว่าอารักขายีน (gene vigilant)
Bios อารักขาชีวิตเท่านั้น พืชมีสัญชาตญาณอารักขาชีวิตเฉพาะหน่วย เฉพาะชีวิต แต่ว่าพวกสัตว์เดรัจฉานมันมีสัญชาตญาณและมีความสุขในสัญชาตญาณนั้นก็คือ นอกจากไม่เพียงแต่รักษาชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องของ Bios แต่รักษา Species ของมันด้วยก็คือพยายามที่จะแพร่ยีน ก็คือสัญชาตญาณอารักขายีน ต้องพยายามสืบพันธ์เพื่อเผ่าพันธุ์จะได้มีอยู่ต่อไป คือ ตามปกติกลุ่มที่มีสัญชาตญาณอารักขายีน จะไม่กินพวกเดียวกันเอง
ดังนั้นสัตว์ประเภทไหนที่กินพวกของมันเอง จะถือว่าผิดปกติ สูญเสียสัญชาตญาณอารักขายีน พวกนี้จะอยู่ไม่ได้นาน สูญเสียพลังอารักขายีน โดยธรรมดาจะต้องพยายามรักษาเผ่าพันธุ์ของมัน มันกินอย่างอื่นแต่นอกจากพวกเดียวกัน มันจะไม่กิน ความรู้สึกอย่างนี้ในสมัยโบราณ พวกไหนที่กินเนื้อคน ถือว่าผิดธรรมชาติ ผิดจากสัญชาตญาณอารักขายีน กินพวกตัวเองได้ แทนที่ควรจะเผยแพร่ยีนหรือเผยแพร่พวกของตัวเองต่อไป
สิ่งเหล่านี้ใน Idea ของพวกกรีกและโรมัน เวลาพูดถึงธรรมชาติ ก็จะพูดถึงแค่เพียงเฉพาะฟิสิกส์กับเคมี ถ้ามีเคมี เวลานั้นไม่รู้จัก แต่สามารถพูดได้ว่าในเคมีช่วงนั้นยังไม่ถึงชีวิต แต่ถ้าถึงชีวิตคือ Organism ซึ่งไม่ใช่ตามธรรมชาติแล้ว แต่เป็นลักษณะ Supernatural มาขั้นหนึ่ง และถ้าพวกสัตว์เดรัจฉานมีสัญชาตญาณอารักขายีน ก็จะเป็น Supernatural ขั้นที่สอง และเมื่อเป็นมนุษย์ก็จะมีNous คือมีปัญญา เป็น Supernatural ขั้นที่สาม
นักปราชญ์คิดว่าถ้าสิ่งไหนมี Nous โดย Nous นี้ก็ไม่น่าที่จะต้องตายไปกับร่างกาย ทำให้ไปถึงเรื่องความเชื่อที่ว่า ต้องมีโลกหน้า มีอะไรต่างๆ และขั้นที่สี่ต่อไปก็คือเป็น Theos
Theos ในความหมายของพวกกรีกและโรมัน ยุคตะวันตกสมัยก่อน คือไม่เคยเป็นมนุษย์มาก่อน
ถ้าเคยเป็นมนุษย์ก็คือ Nous เป็นวิญญาณของมนุษย์ และร่างกายตายแล้วมันยังคงมีอยู่ต่อไปได้ แต่จะไม่ได้เป็นลักษณะเดียวกันกับ Theos เพราะ Theos ต้องไม่เคยเป็นมนุษย์ ซึ่งโดยนิยามแล้วต้องเป็นจิตอย่างเดียว ไม่เคยมาอยู่ในร่ายกายหรือไม่เคยแม้แต่เป็นวิญญาณมาก่อน